วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางศาสนา

ในมุมมองของศาสนาจะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ซึ่งได้แก่

1. บังเกิดเมตตาจิต เกิดความสงบ สุขุม เยือกเย็น อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น โมโหง่าย ดวง ธรรมญาณอันบริสุทธิ์จะปรากฏออกมาซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริม ให้บารมี ธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ

2. ทำให้มีสติมั่นคง มีสมาธิแน่วแน่ ไม่ประมาทเลินเล่อ เป็นประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิตและการทำงาน สามารถรอดพ้นจากภัยต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ ภัยจากเคราะห์กรรม เมื่อวิญญาณออกจาก ร่าง ก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี

3. หยุดการทำบาป ตัดเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ไม่เกิดการอาฆาตพยาบาท ทำให้ปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งร้ายตามจองเวร

4. สิ่งไม่ดีจะถูกขับออกไป ความรู้สึกขุ่นมัว มืดมนจะหมดไป หลังจากกินเจต่อเนื่องกัน เป็นระยะเวลานานๆ ความสดใสจะปรากฏขึ้นในจิตใจ และถ่ายทอดออกไปสู่ใบ หน้าให้มีความสะอาดสดใส

5. ผู้ที่กินเจ รวมทั้งครอบครัวและบุตรหลาน และคนในปกครองจะเกิดความรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้เกิด อยู่ในดินแดนอารยะ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการทำร้ายรบราฆ่าฟัน ไม่มุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกัน และกัน

6. ทำให้จิตใจสะอาดไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจที่สะอาดทำให้มองเห็นกายอันแท้จริง สามารถสู่นิพพานได้ในที่สุด

7. เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครองอารักขาไม่ให้สิ่งเลวร้ายหรือวิญญาณชั้นต่ำเข้ามาทำร้าย

ผู้ที่มองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของศาสนา จะมีการปฏิบัติที่เคร่งครัดว่า การมองประโยชน์ของการ กินเจในแง่อื่น ซึ่งมักจะให้ผลที่สามารถมองเห็นได้อย่างเกินคาด เกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น การลุยไฟ การใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่จังหวัดตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสมอ

http://61.19.54.141/dpmrc12/Pakinaka/45.htm

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ



สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
http://blog.eduzones.com/entertain/11089

5 รสนี้ดีอย่างไรต่อคุณแม่ท้อง

รสชาตินั้นนอกจากจะทำให้อาหารอร่อยแล้ว ยังเป็นตัวบ่งบอกถึงสารอาหารที่เราจะได้รับด้วย แล้วรสหวาน เค็ม เปรี้ยว ขม และเผ็ดนั้นมีผลต่อร่างกายของคุณแม่ท้องอย่างไร แล้วควรเลือกกินแบบไหน เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

รสชาติสำคัญอย่างไร

ลิ้นเราสามารถรับรู้ได้ 4 รสชาติด้วยกัน คือ รสหวาน รสเค็ม รสเปรี้ยว รสขม ส่วนรสเผ็ดนั้น ถึงแม้ว่าลิ้นจะรับรสไม่ได้ แต่ความเผ็ดร้อนก็ทำให้อาหารมีความอร่อยมากยิ่งขึ้น หลายคนจึงชอบกินรสเผ็ดร้อนจัดจ้าน

คุณทราบไหมคะว่า ความแตกต่างของรสต่างๆ นั้น ให้สารอาหารที่มีประโยชน์แตกต่างกันไป สำหรับคุณแม่ท้องไม่ควรกินอาหารเน้นไปที่รสใดรสหนึ่ง แต่ควรกินให้หลากหลายในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

1. รสหวาน

อาหารรสหวาน มักจะอยู่ในอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำผึ้ง น้ำตาล ขนมต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับคุณแม่ท้อง ทำให้รู้สึกสดชื่น แจ่มใส ร่าเริง ลดอาการอ่อนเพลีย ช่วยดับกระหาย

ลองลิ้มรสหวาน

ถั่วเขียวต้มน้ำตาล น้ำอ้อย กล้วยอบ น้ำผึ้ง อินทผาลัม ลูกเกด ขนมหวาน

แม่ท้องควรรู้

คุณแม่ท้องสามารกินอาหารที่มีรสหวานได้ทุกวัน แต่ต้องจำกัดจำนวน และไม่ควรกินรสหวานจัด เพราะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป ส่งให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ



2. รสเค็ม

อาหารรสเค็มจัดจะมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย อาหารที่มีรสเค็มจะช่วยกระตุ้นต่อมรับรส ทำให้อาหารมีรสอร่อยมากขึ้น

ลองลิ้มรสเค็ม

ปลาหมึกแห้ง สาหร่ายทะเล กุ้งแห้ง หมูแดดเดียว บ๊วยเค็ม ผลไม้ดอง ผักกาดดอง

แม่ท้องควรรู้

คุณแม่ท้องไม่ควรกินอาหารที่มีรสเค็มจัด เช่น อาหารหมักดอง อาหารตากแห้ง เพราะจะทำให้ร่างกายมีปริมาณโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ทำให้กระหายน้ำ ร้อนใน เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้ไต และหัวใจทำงานหนักมากขึ้น แม่ท้องควรกินอาหารที่มีความเค็มปานกลาง ไม่ควรปรุงรสเพิ่ม ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณโซเดียม



3. รสเปรี้ยว

รสเปรี้ยวช่วยลดอาการคลื่นไส้ และอาการแพ้ของแม่ท้องในไตรมาสแรกได้เป็นอย่างดี ช่วยให้การย่อยและดูดซึมสารอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยขับเสมหะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ป้องกันอาการท้องผูกได้

ลองลิ้มรสเปรี้ยว

น้ำมะนาว น้ำกระเจี๊ยบ มะขาม มะม่วงดิบ ยำวุ้นเส้น โป๊ะแตก สับปะรด กระท้อน

แม่ท้องควรรู้

อาหารที่มีรสเปรี้ยวมักมีพลังงานน้อยกว่าอาหารที่มีรสหวาน ไม่ทำให้อ้วนง่าย แต่ถ้าคุณแม่กินรสเปรี้ยวมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสีย กระเพาะอาหารและลำไส้เกิดอาการระคายเคืองได้



4. รสขม

อาหารรสขมส่วนใหญ่มักมาจากพืชผักต่าง ๆ เช่น มะระ ผักโขม มะเขือพวง สะเดา ใบบัวบก ใบยอ ใบย่านาง อุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ เช่น เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม แคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์สำหรับแม่ท้อง เพราะช่วยบำรุงหัวใจ ลดการดูดซึมของไขมันและน้ำตาล มีใยอาหารสูง เป็นยาระบายธรรมชาติ ช่วยในการทำงานของระบบย่อยและดูดซึม

ลองลิ้มรสขม

ผัดมะระ สะเดาลวก แกงเห็ดใบย่านาง ห่อหมกใบยอ น้ำใบบัวบก ผัดผักโขม

แม่ท้องควรรู้

คุณแม่ท้องที่มีอาการแพ้ในไตรมาสแรก อาจต้องระมัดระวังในการทานรสขม เพราะอาจไปกระตุ้นให้อาเจียนได้ง่าย และแม่ท้องที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็ควรกินอาหารในกลุ่มนี้บ่อย ๆ เพราะจะช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล



5. รสเผ็ด

วัตถุดิบที่มีรสเผ็ด เช่น ขิง พริก กระเทียม พริกไทย กะเพรา ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยขับเหงื่อ ขับลม การเผาผลาญอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้แม่ท้องลดอาหารอึดอัดแน่นท้อง กระตุ้นให้เจริญอาหาร กินอาหารได้มากขึ้น

ลองลิ้มรสเผ็ด

น้ำขิง ปลานึ่งขิง ไก่ผัดกะเพรา หมูทอดกระเทียมพริกไทย

แม่ท้องควรรู้

คุณแม่ท้องไม่ควรกินอาหารรสเผ็ดจัด โดยเฉพาะขณะท้องว่างเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้



อาหารทุกรสชาติล้วนมีประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นเวลาทานอาหาร คุณแม่ท้องก็ควรจะต้องบาลานซ์รสชาติให้ดีๆ นะคะไม่ควรเน้นไปที่รสชาติใดมากเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกในท้องค่ะ

http://www.teenpath.net/content.asp?ID=14529

ฝึกร้องเพลงเพื่อสุขภาพแนวทางช่วยชีวิตยืนยาว

การร้องเพลงนั้นนอกจากจะทำให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรงด้วยเช่นกัน เพราะในขณะที่เรากำลังร้องเพลง อวัยวะทุกส่วนในร่างกายได้ทำงานไปพร้อมๆ กัน

และการที่จะร้องเพลงให้ดีได้นั้นก็ต้องมีการเตรียมร่างกายและจิตใจ เช่น อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี รับประทานอาหารที่ดี มีการออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ และควรประคองชีวิตให้สมดุล ก็จะช่วยให้ร้องเพลงได้ดีขึ้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การฝึกร้องเพลงเพื่อสุขภาพเป็นเรื่องเดียวกับการที่ต้องมีสุขภาพดีอยู่แล้ว

พญ.พันทิวา สินรัชตานันท์ จักษุแพทย์ ประจำ รพ.รามาธิบดี เผยว่า การร้องเพลงเพื่อสุขภาพคือ การใช้การร้องเพลงช่วยทำให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวนั่นเอง โดยใช้หลักการเชื่อมโยงที่ว่า ในระหว่างที่ร้องเพลงนั้นเราต้องใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ดังนั้นจึงพูดง่ายๆ ว่าเป็นการบริหารหรือออกกำลังกายอวัยวะเหล่านี้ไปในตัว จึงทำให้ร่างกายแข็งแรงได้นั่นเอง โดยเริ่มตั้งแต่

1. สมอง เพราะผู้ที่ร้องเพลงนั้นต้องมีสมองที่ดีเพื่อใช้จดจำเนื้อเพลง

2. หู เพราะหูนั้นจะช่วยให้เราได้ยินเสียงต้นแบบ เพราะหากไม่ได้ยินก็จะทำให้ไม่สามารถร้องเพลงได้

3. กะโหลกศีรษะ เพราะผู้ที่มีกะโหลกศีรษะสวยเปรียบเสมือนมีตู้ลำโพงที่ดี ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเปล่งเสียงที่ไพเราะออกมาได้

4. โพรงอากาศในจมูก จะช่วยเรื่องของการหายใจที่ถูกต้องในระหว่างร้องเพลง

5. ลิ้น จะช่วยในการควบคุมการเปล่งเสียง

6. หลอดลม ทำหน้าที่ในการนำส่งอากาศจากภายนอกร่างกายเข้าสู่ปอด

7. กล่องเสียง เป็นอวัยวะในลำคอ จะทำหน้าที่ในการป้องกันท่อลมและทำให้เกิดเสียง

8. แขน ขา ข้อมือและเท้า เป็นตัวที่ทำให้ร่างกายเกิดการขับเคลื่อน เช่น การเดินหรือเต้นบนเวทีก็ช่วยให้มีสุขภาพดีนั่นเอง

นอกจากนี้ การที่จะฝึกร้องเพลงให้ดีได้นั้น การเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อมก่อนร้องเพลงก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมออาทิตย์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก หรือการออกกำลังกายโดยการเอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงหลอดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งต้องทำต่อเนื่องกันประมาณ 30 นาที เช่น การเต้นแอโรบิก การวิ่ง การขี่จักรยาน

รวมทั้งการออกกำลังกายแบบแอนาโรบิก หรือการออกกำลังกายโดยไม่ใช้ออกซิเจน เช่น การเต้นรำ การเดิน การรำมวยจีน การว่ายน้ำ แต่ต้องเป็นระยะเวลานานพอสมควร เพื่อให้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงในร่างกาย ขณะเดียวกันก็ต้องมีสุขภาพจิตที่ดี โดยเลือกอยู่ในสิ่งที่แวดล้อมที่ดีด้วยเช่นกัน รวมถึงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การประคองชีวิตให้มีความสมดุล

สิ่งเหล่านี้นอกจากจะเป็นตัวช่วยให้มีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้มีการขับร้องเพลงที่ดีเช่นกัน และที่ขาดไม่ได้คือการเลือกเพลงที่จะร้องนั้น ควรเป็นเพลงที่มีเนื้อหาฟังสบายให้กำลังใจ และเป็นเพลงช้าๆ หรือเป็นเพลงที่สร้างความกตัญญูกตเวที เช่น เพลงอิ่มอุ่น หรือเพลงค่าน้ำนม ก็จะช่วยทำให้ผู้ร้องเพลงมีชีวิตที่ดีงามตามไปด้วยเช่นกัน
http://www.teenpath.net/content.asp?ID=14509

น้ำอัดลมอันตราย!!!

“ทุกคนขุดหลุมศพตัวเองด้วยปากและฟันทุกๆวัน” ซึ่งบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การบริโภคน้ำอัดลมเป็นประจำวันนั้น ส่งผลเสียต่อร่างกาย และอันตรายถึงขั้น เสียชีวิต เพราะการดื่มน้ำอัดลมทุกวันหรือทุกมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็น จนทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน และโรคเบาหวานได้ อีกทั้งน้ำอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวกวัตถุกันเสียและสีมากกว่า บางคนชอบดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ หลังรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ ก็จะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่น้ำอัดลมเย็นๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิต่ำกว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารของร่างกายต่ำลง ทำให้ย่อยอาหารได้ยากขึ้น และย่อยอาหารได้น้อยลง และผลเสียที่ตามมาอีกทอดหนึ่งก็คือ อาหารในร่างกายจะเสียและส่งแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษ ซึ่งจะถูกดูดซึมและทำการไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้เชื้อโรคต่างๆ เจริญเติบโตได้ดี



คิดให้ดีก่อนที่คุณจะดื่มน้ำอัดลม!
มีคนใส่ฟันซึ่งหลุดออกมาแล้วลงไปในขวดเป๊ปซี่ และมันก็ถูกกัดกร่อนในเวลา 10 วัน ฟันและกระดูกเป็นอวัยวะในร่างกายเพียงอย่างเดียว ซึ่งสามารถคงอยู่ได้อีกหลายปีหลังจากที่มนุษย์เสียชีวิตลง ลองคิดดูสิว่า น้ำอัดลม จะมีผลอย่างไรต่อลำไส้อ่อนๆ และกระเพาะอาหารของเรา
มีคนทำความสะอาดห้องน้ำโดยการรินน้ำอัดลมลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในน้ำอัดลม ได้ทำการขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี
มีคนใช้น้ำอัดลมกำจัดจุดสนิมบนกันชนรถ โดยการขัดกันชนด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ขยำเป็นชิ้นเล็กๆ และจุ่มน้ำอัดลม
มีคนใช้น้ำอัดลมทำความสะอาดรอยกัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถ โดยการรินน้ำอัดลมให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
มีคนใช้น้ำอัดลมขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมน้ำยาซักผ้าและทำการซักตามปกติ จะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง และน้ำอัดลมยังช่วยทำความสะอาดรอยน้ำ ซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย
และน้ำอัดลมยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ โดยเฉพาะหากดื่มวันละ 2 กระป๋องขึ้นไป จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไขข้อชนิดนี้ เพิ่มขึ้นถึง 85% เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้ำอัดลมเดือนละไม่ถึงหนึ่งกระป๋อง เนื่องมาจากน้ำอัดลมรสหวานประกอบด้วยฟรุกโตส ปริมาณมาก ทั้งนี้ ฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลตามธรรมชาติที่พบในผลไม้ และเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ เนื่องจากทำให้ระดับของกรดยูริก (สาเหตุของการเกิดโรคเกาต์) ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราก็ไม่ควรปล่อยให้น้ำอัดลมบุกจู่โจมทำร้ายสุขภาพ และควรเตรียมตัวป้องกันด้วยการระมัดระวังในการดื่มน้ำอัดลม เพื่อการดำเนินชีวิตตามปกติอย่างมีความสุข

http://herbal.muasua.com

การคั้นน้ำผลไม้



http://www.youtube.com/watch?v=UU2bJYj9l0g&feature=related

น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ



http://www.youtube.com/watch?v=rQ71l2St7Ao