วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางศาสนา

ในมุมมองของศาสนาจะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ซึ่งได้แก่

1. บังเกิดเมตตาจิต เกิดความสงบ สุขุม เยือกเย็น อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น โมโหง่าย ดวง ธรรมญาณอันบริสุทธิ์จะปรากฏออกมาซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริม ให้บารมี ธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ

2. ทำให้มีสติมั่นคง มีสมาธิแน่วแน่ ไม่ประมาทเลินเล่อ เป็นประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิตและการทำงาน สามารถรอดพ้นจากภัยต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ ภัยจากเคราะห์กรรม เมื่อวิญญาณออกจาก ร่าง ก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี

3. หยุดการทำบาป ตัดเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ไม่เกิดการอาฆาตพยาบาท ทำให้ปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งร้ายตามจองเวร

4. สิ่งไม่ดีจะถูกขับออกไป ความรู้สึกขุ่นมัว มืดมนจะหมดไป หลังจากกินเจต่อเนื่องกัน เป็นระยะเวลานานๆ ความสดใสจะปรากฏขึ้นในจิตใจ และถ่ายทอดออกไปสู่ใบ หน้าให้มีความสะอาดสดใส

5. ผู้ที่กินเจ รวมทั้งครอบครัวและบุตรหลาน และคนในปกครองจะเกิดความรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้เกิด อยู่ในดินแดนอารยะ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการทำร้ายรบราฆ่าฟัน ไม่มุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกัน และกัน

6. ทำให้จิตใจสะอาดไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจที่สะอาดทำให้มองเห็นกายอันแท้จริง สามารถสู่นิพพานได้ในที่สุด

7. เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครองอารักขาไม่ให้สิ่งเลวร้ายหรือวิญญาณชั้นต่ำเข้ามาทำร้าย

ผู้ที่มองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของศาสนา จะมีการปฏิบัติที่เคร่งครัดว่า การมองประโยชน์ของการ กินเจในแง่อื่น ซึ่งมักจะให้ผลที่สามารถมองเห็นได้อย่างเกินคาด เกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น การลุยไฟ การใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่จังหวัดตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสมอ

http://61.19.54.141/dpmrc12/Pakinaka/45.htm

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ



สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
http://blog.eduzones.com/entertain/11089

5 รสนี้ดีอย่างไรต่อคุณแม่ท้อง

รสชาตินั้นนอกจากจะทำให้อาหารอร่อยแล้ว ยังเป็นตัวบ่งบอกถึงสารอาหารที่เราจะได้รับด้วย แล้วรสหวาน เค็ม เปรี้ยว ขม และเผ็ดนั้นมีผลต่อร่างกายของคุณแม่ท้องอย่างไร แล้วควรเลือกกินแบบไหน เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

รสชาติสำคัญอย่างไร

ลิ้นเราสามารถรับรู้ได้ 4 รสชาติด้วยกัน คือ รสหวาน รสเค็ม รสเปรี้ยว รสขม ส่วนรสเผ็ดนั้น ถึงแม้ว่าลิ้นจะรับรสไม่ได้ แต่ความเผ็ดร้อนก็ทำให้อาหารมีความอร่อยมากยิ่งขึ้น หลายคนจึงชอบกินรสเผ็ดร้อนจัดจ้าน

คุณทราบไหมคะว่า ความแตกต่างของรสต่างๆ นั้น ให้สารอาหารที่มีประโยชน์แตกต่างกันไป สำหรับคุณแม่ท้องไม่ควรกินอาหารเน้นไปที่รสใดรสหนึ่ง แต่ควรกินให้หลากหลายในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

1. รสหวาน

อาหารรสหวาน มักจะอยู่ในอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำผึ้ง น้ำตาล ขนมต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับคุณแม่ท้อง ทำให้รู้สึกสดชื่น แจ่มใส ร่าเริง ลดอาการอ่อนเพลีย ช่วยดับกระหาย

ลองลิ้มรสหวาน

ถั่วเขียวต้มน้ำตาล น้ำอ้อย กล้วยอบ น้ำผึ้ง อินทผาลัม ลูกเกด ขนมหวาน

แม่ท้องควรรู้

คุณแม่ท้องสามารกินอาหารที่มีรสหวานได้ทุกวัน แต่ต้องจำกัดจำนวน และไม่ควรกินรสหวานจัด เพราะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป ส่งให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ



2. รสเค็ม

อาหารรสเค็มจัดจะมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย อาหารที่มีรสเค็มจะช่วยกระตุ้นต่อมรับรส ทำให้อาหารมีรสอร่อยมากขึ้น

ลองลิ้มรสเค็ม

ปลาหมึกแห้ง สาหร่ายทะเล กุ้งแห้ง หมูแดดเดียว บ๊วยเค็ม ผลไม้ดอง ผักกาดดอง

แม่ท้องควรรู้

คุณแม่ท้องไม่ควรกินอาหารที่มีรสเค็มจัด เช่น อาหารหมักดอง อาหารตากแห้ง เพราะจะทำให้ร่างกายมีปริมาณโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ทำให้กระหายน้ำ ร้อนใน เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้ไต และหัวใจทำงานหนักมากขึ้น แม่ท้องควรกินอาหารที่มีความเค็มปานกลาง ไม่ควรปรุงรสเพิ่ม ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณโซเดียม



3. รสเปรี้ยว

รสเปรี้ยวช่วยลดอาการคลื่นไส้ และอาการแพ้ของแม่ท้องในไตรมาสแรกได้เป็นอย่างดี ช่วยให้การย่อยและดูดซึมสารอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยขับเสมหะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ป้องกันอาการท้องผูกได้

ลองลิ้มรสเปรี้ยว

น้ำมะนาว น้ำกระเจี๊ยบ มะขาม มะม่วงดิบ ยำวุ้นเส้น โป๊ะแตก สับปะรด กระท้อน

แม่ท้องควรรู้

อาหารที่มีรสเปรี้ยวมักมีพลังงานน้อยกว่าอาหารที่มีรสหวาน ไม่ทำให้อ้วนง่าย แต่ถ้าคุณแม่กินรสเปรี้ยวมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสีย กระเพาะอาหารและลำไส้เกิดอาการระคายเคืองได้



4. รสขม

อาหารรสขมส่วนใหญ่มักมาจากพืชผักต่าง ๆ เช่น มะระ ผักโขม มะเขือพวง สะเดา ใบบัวบก ใบยอ ใบย่านาง อุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ เช่น เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม แคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์สำหรับแม่ท้อง เพราะช่วยบำรุงหัวใจ ลดการดูดซึมของไขมันและน้ำตาล มีใยอาหารสูง เป็นยาระบายธรรมชาติ ช่วยในการทำงานของระบบย่อยและดูดซึม

ลองลิ้มรสขม

ผัดมะระ สะเดาลวก แกงเห็ดใบย่านาง ห่อหมกใบยอ น้ำใบบัวบก ผัดผักโขม

แม่ท้องควรรู้

คุณแม่ท้องที่มีอาการแพ้ในไตรมาสแรก อาจต้องระมัดระวังในการทานรสขม เพราะอาจไปกระตุ้นให้อาเจียนได้ง่าย และแม่ท้องที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็ควรกินอาหารในกลุ่มนี้บ่อย ๆ เพราะจะช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล



5. รสเผ็ด

วัตถุดิบที่มีรสเผ็ด เช่น ขิง พริก กระเทียม พริกไทย กะเพรา ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยขับเหงื่อ ขับลม การเผาผลาญอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้แม่ท้องลดอาหารอึดอัดแน่นท้อง กระตุ้นให้เจริญอาหาร กินอาหารได้มากขึ้น

ลองลิ้มรสเผ็ด

น้ำขิง ปลานึ่งขิง ไก่ผัดกะเพรา หมูทอดกระเทียมพริกไทย

แม่ท้องควรรู้

คุณแม่ท้องไม่ควรกินอาหารรสเผ็ดจัด โดยเฉพาะขณะท้องว่างเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้



อาหารทุกรสชาติล้วนมีประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นเวลาทานอาหาร คุณแม่ท้องก็ควรจะต้องบาลานซ์รสชาติให้ดีๆ นะคะไม่ควรเน้นไปที่รสชาติใดมากเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกในท้องค่ะ

http://www.teenpath.net/content.asp?ID=14529

ฝึกร้องเพลงเพื่อสุขภาพแนวทางช่วยชีวิตยืนยาว

การร้องเพลงนั้นนอกจากจะทำให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรงด้วยเช่นกัน เพราะในขณะที่เรากำลังร้องเพลง อวัยวะทุกส่วนในร่างกายได้ทำงานไปพร้อมๆ กัน

และการที่จะร้องเพลงให้ดีได้นั้นก็ต้องมีการเตรียมร่างกายและจิตใจ เช่น อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี รับประทานอาหารที่ดี มีการออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ และควรประคองชีวิตให้สมดุล ก็จะช่วยให้ร้องเพลงได้ดีขึ้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การฝึกร้องเพลงเพื่อสุขภาพเป็นเรื่องเดียวกับการที่ต้องมีสุขภาพดีอยู่แล้ว

พญ.พันทิวา สินรัชตานันท์ จักษุแพทย์ ประจำ รพ.รามาธิบดี เผยว่า การร้องเพลงเพื่อสุขภาพคือ การใช้การร้องเพลงช่วยทำให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวนั่นเอง โดยใช้หลักการเชื่อมโยงที่ว่า ในระหว่างที่ร้องเพลงนั้นเราต้องใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ดังนั้นจึงพูดง่ายๆ ว่าเป็นการบริหารหรือออกกำลังกายอวัยวะเหล่านี้ไปในตัว จึงทำให้ร่างกายแข็งแรงได้นั่นเอง โดยเริ่มตั้งแต่

1. สมอง เพราะผู้ที่ร้องเพลงนั้นต้องมีสมองที่ดีเพื่อใช้จดจำเนื้อเพลง

2. หู เพราะหูนั้นจะช่วยให้เราได้ยินเสียงต้นแบบ เพราะหากไม่ได้ยินก็จะทำให้ไม่สามารถร้องเพลงได้

3. กะโหลกศีรษะ เพราะผู้ที่มีกะโหลกศีรษะสวยเปรียบเสมือนมีตู้ลำโพงที่ดี ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเปล่งเสียงที่ไพเราะออกมาได้

4. โพรงอากาศในจมูก จะช่วยเรื่องของการหายใจที่ถูกต้องในระหว่างร้องเพลง

5. ลิ้น จะช่วยในการควบคุมการเปล่งเสียง

6. หลอดลม ทำหน้าที่ในการนำส่งอากาศจากภายนอกร่างกายเข้าสู่ปอด

7. กล่องเสียง เป็นอวัยวะในลำคอ จะทำหน้าที่ในการป้องกันท่อลมและทำให้เกิดเสียง

8. แขน ขา ข้อมือและเท้า เป็นตัวที่ทำให้ร่างกายเกิดการขับเคลื่อน เช่น การเดินหรือเต้นบนเวทีก็ช่วยให้มีสุขภาพดีนั่นเอง

นอกจากนี้ การที่จะฝึกร้องเพลงให้ดีได้นั้น การเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อมก่อนร้องเพลงก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมออาทิตย์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก หรือการออกกำลังกายโดยการเอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงหลอดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งต้องทำต่อเนื่องกันประมาณ 30 นาที เช่น การเต้นแอโรบิก การวิ่ง การขี่จักรยาน

รวมทั้งการออกกำลังกายแบบแอนาโรบิก หรือการออกกำลังกายโดยไม่ใช้ออกซิเจน เช่น การเต้นรำ การเดิน การรำมวยจีน การว่ายน้ำ แต่ต้องเป็นระยะเวลานานพอสมควร เพื่อให้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงในร่างกาย ขณะเดียวกันก็ต้องมีสุขภาพจิตที่ดี โดยเลือกอยู่ในสิ่งที่แวดล้อมที่ดีด้วยเช่นกัน รวมถึงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การประคองชีวิตให้มีความสมดุล

สิ่งเหล่านี้นอกจากจะเป็นตัวช่วยให้มีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้มีการขับร้องเพลงที่ดีเช่นกัน และที่ขาดไม่ได้คือการเลือกเพลงที่จะร้องนั้น ควรเป็นเพลงที่มีเนื้อหาฟังสบายให้กำลังใจ และเป็นเพลงช้าๆ หรือเป็นเพลงที่สร้างความกตัญญูกตเวที เช่น เพลงอิ่มอุ่น หรือเพลงค่าน้ำนม ก็จะช่วยทำให้ผู้ร้องเพลงมีชีวิตที่ดีงามตามไปด้วยเช่นกัน
http://www.teenpath.net/content.asp?ID=14509

น้ำอัดลมอันตราย!!!

“ทุกคนขุดหลุมศพตัวเองด้วยปากและฟันทุกๆวัน” ซึ่งบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การบริโภคน้ำอัดลมเป็นประจำวันนั้น ส่งผลเสียต่อร่างกาย และอันตรายถึงขั้น เสียชีวิต เพราะการดื่มน้ำอัดลมทุกวันหรือทุกมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็น จนทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน และโรคเบาหวานได้ อีกทั้งน้ำอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวกวัตถุกันเสียและสีมากกว่า บางคนชอบดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ หลังรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ ก็จะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่น้ำอัดลมเย็นๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิต่ำกว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารของร่างกายต่ำลง ทำให้ย่อยอาหารได้ยากขึ้น และย่อยอาหารได้น้อยลง และผลเสียที่ตามมาอีกทอดหนึ่งก็คือ อาหารในร่างกายจะเสียและส่งแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษ ซึ่งจะถูกดูดซึมและทำการไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้เชื้อโรคต่างๆ เจริญเติบโตได้ดี



คิดให้ดีก่อนที่คุณจะดื่มน้ำอัดลม!
มีคนใส่ฟันซึ่งหลุดออกมาแล้วลงไปในขวดเป๊ปซี่ และมันก็ถูกกัดกร่อนในเวลา 10 วัน ฟันและกระดูกเป็นอวัยวะในร่างกายเพียงอย่างเดียว ซึ่งสามารถคงอยู่ได้อีกหลายปีหลังจากที่มนุษย์เสียชีวิตลง ลองคิดดูสิว่า น้ำอัดลม จะมีผลอย่างไรต่อลำไส้อ่อนๆ และกระเพาะอาหารของเรา
มีคนทำความสะอาดห้องน้ำโดยการรินน้ำอัดลมลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในน้ำอัดลม ได้ทำการขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี
มีคนใช้น้ำอัดลมกำจัดจุดสนิมบนกันชนรถ โดยการขัดกันชนด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ขยำเป็นชิ้นเล็กๆ และจุ่มน้ำอัดลม
มีคนใช้น้ำอัดลมทำความสะอาดรอยกัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถ โดยการรินน้ำอัดลมให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
มีคนใช้น้ำอัดลมขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมน้ำยาซักผ้าและทำการซักตามปกติ จะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง และน้ำอัดลมยังช่วยทำความสะอาดรอยน้ำ ซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย
และน้ำอัดลมยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ โดยเฉพาะหากดื่มวันละ 2 กระป๋องขึ้นไป จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไขข้อชนิดนี้ เพิ่มขึ้นถึง 85% เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้ำอัดลมเดือนละไม่ถึงหนึ่งกระป๋อง เนื่องมาจากน้ำอัดลมรสหวานประกอบด้วยฟรุกโตส ปริมาณมาก ทั้งนี้ ฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลตามธรรมชาติที่พบในผลไม้ และเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ เนื่องจากทำให้ระดับของกรดยูริก (สาเหตุของการเกิดโรคเกาต์) ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราก็ไม่ควรปล่อยให้น้ำอัดลมบุกจู่โจมทำร้ายสุขภาพ และควรเตรียมตัวป้องกันด้วยการระมัดระวังในการดื่มน้ำอัดลม เพื่อการดำเนินชีวิตตามปกติอย่างมีความสุข

http://herbal.muasua.com

การคั้นน้ำผลไม้



http://www.youtube.com/watch?v=UU2bJYj9l0g&feature=related

น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ



http://www.youtube.com/watch?v=rQ71l2St7Ao

ผลไม้เพื่อสุขภาพ

ทับทิม เป็นผลไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมมาก สามารถปลูกได้ในประเทศไทย แต่ที่แท้จริงเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) และมีแถบอินเดียตอนเหนือบริเวณเทือกเขาหิมาลัย
ในเมืองไทย ทับทิมดูจะเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่นิยมนำไปถวายแด่พระแม่กวนอิม ในประวัติศาสตร์ พบว่าได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 80 ปีมาแล้ว ในประเทศเปอร์เซียโบราณมีความเชื่อว่า คุณค่า ทางอาหารทุกชนิดที่มีอยู่ในผลไม้ต่างๆ นั้น รวมกันอยู่ในทับทิม ทับทิมเป็นผลไม้ที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย โดยมีการใช้ทับทิมเป็นสัญลักษณ์ของผลไม้ ถือว่าเป็นผลไม้จากสวรรค์หรือเป็นของขวัญจากพระเจ้า


แคลตาลูป เป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นไม้เถา เถาและก้านใบมีขนนิ่ม เถาเป็นเหลี่ยม ใบเหลี่ยมมน ดอกตัวผู้และตัวเมียอยู่คนละดอก มีผลกลมรี ผิวผลมีสีเหลือง เนื้อในมีสีเหลืองอมส้ม


กล้วยหอม ลักษณะทั่วไป มีเหง้าใต้ดิน สีน้ำตาลเข้ม ต้นบนดินมีลักษณะเป็นกาบใบซ้อนหุ้มห่ออัดกันแน่น เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ใบกว้าง เส้นกลางใบนูน กลีบใบสีเขียวเข้ม ใต้ใบมีสีอ่อน สีขาวนวล มีดอกเรียกว่าหัวปลี ผลเป็นเครือ ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกจะมีสีเหลืองทอง
http://herbal.muasua.com/tag/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กินเนื้อ ... ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ จริงไหม ?

เนื้อสัตว์เป็นโปรตีนชนิดสมบูรณ์ ด้วยมีกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้ ทั้งนี้ หลายคนเลิกกินเนื้อ เพราะเชื่อว่าไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มีข้อสังเกตและข้อแนะนำดังนี้...

- การกินเนื้อสัตว์มากๆ ไม่เป็นผลดีต่อระบบหัวใจ
กินเนื้อสัตว์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะกินให้ได้สุขภาพต้องมีกฎเกณฑ์ ต้องดูก่อนว่าเป็นเนื้อสัตว์ประเภทใด ส่วนไหน กินปริมาณมากน้อยแค่ไหนและผ่านกรรมวิธีปรุงอย่างไร เพราะเนื้อสัตว์แต่ละชนิดมีปริมาณไขมันอิ่มตัวที่ก่อให้เกิดคอเลสเตอรอลแตกต่างกัน
โดยเฉพาะเนื้อส่วนที่มีไขมันติดเห็นได้ชัดเจนหรือเนื้อสัตว์สับที่มักมีไขมันแฝง
ยิ่งถ้ากินตามใจปาก แถมปรุงรสเค็มจัดหรือหวานเด่นด้วยการผัดและทอดในน้ำ มันชุ่มด้วยแล้ว ร่างกายย่อมเสี่ยงต่อระดับ """"ไตรกลีเซอไรด์"""" และ """"คอเลสเตอรอล"""" ตัวร้ายที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ไขมันสะสมในผนังหลอดเลือดแดง และเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและ เส้นเลือดสมองในที่สุด

- กินเนื้อสัตว์เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้
โรคมะเร็งลำไส้เกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม ท้องผูกเรื้อรัง สภาวะมลพิษหรือสภาพแวดล้อมรอบตัว และพฤติกรรมการดำเนินชีวิต อาทิ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์จัด กินอาหารกากใยน้อย
นักวิชาการทั่วโลกต่างแสดงความเห็นหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่พบว่า การกินเนื้อหมูหรือเนื้อวัว ในปริมาณมากเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ได้พอๆ กับการกินเนื้อสัตว์อื่น หรืออาหารทะเลที่ผ่านการปิ้งย่างหรือแม้แต่การทอดในน้ำมันร้อนๆ จนเกรียมกรอบ

นั่นเพราะเมื่อถูกความร้อนโปรตีนจากเนื้อสัตว์หรืออาหารทะเลจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่เราเรียกว่า """"เฮทเทอโรไซคลิก เอมีน"""" (heterocyclic amines; HCAs) และสาร """"โพลีไซคลิก อะโรเมติก ไฮโดรคาร์บอน"""" (polycyclic aromatic hydrocarbons; PAHs) ที่สามารถทำลายสารพันธุกรรมดีเอ็นเอที่อยู่ในเซลล์ร่างกายและเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดมะเร็งในที่สุด

ข้อแนะนำสำหรับคนชอบอาหารประเภทปิ้งๆ ย่างๆ จนสุกและไหม้เกรียม ต้องกินในปริมาณน้อยและตัดส่วนที่ไหม้เกรียมทิ้งเพื่อลดการเสี่ยง และที่สำคัญพยายามกินผักและผลไม้ให้ได้ครบในมื้ออาหาร
นอกจากนี้ ต้องระวังการกินเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูปและมีไขมันปนมาก เนื่องจากมีไนเตรตสูงที่เป็นต้นเหตุของมะเร็งลำไส้เช่นกัน

- กินเนื้อสัตว์ทำให้เสี่ยงเป็นเกาต์
มีส่วนจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่กินเนื้อสัตว์จะเสี่ยงเป็นโรคเกาต์มากกว่าคนที่กินมังสวิรัติ นั่นเพราะเกาต์จัดอยู่ในโรคข้ออักเสบอันเกิดจากความผิดปกติของการสันดาปของสารพิวรีนที่มีอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลทำให้เลือดมีกรดยูริกสูง และร่างกายขับออกไม่หมดจนตก ผลึกสะสมที่กระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อรอบข้อ
ทำให้ข้ออักเสบ ปวดและบวมในที่สุด

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด




สำหรับคนที่มีกรุ๊ปเลือด A จัดเป็นพวกที่มี น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เป็นกรดต่ำ ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับอาหารประเภท เนื้อ โดยเฉพาะเนื้อแดง เพราะจะย่อยได้ยาก เป็นเหตุให้เกิดสารท็อกซินขึ้นในร่างกายได้ ทว่าหากต้องการเนื้อสัตว์ อาจจะเลือกไปทานเนื้อไก่ ซึ่งก็ไม่ควรจะรับประทานต่อมื้อ ในปริมาณที่มากนัก ฉะนั้นเนื้อปลาจึงเป็นอีกทางเลือก หากต้องการรับประทาน อาหารประเภทโปรตีน ทว่า ควรหลีกเลี่ยง การรับประทานปลาเนื้อขาว จำพวก ปลาตาเดียว และปลาจะละเม็ด เพราะเป็นปลาที่มีเลกติน ซึ่งสามารถ จะไปรบกวนระบบการย่อยของคนเลือดกรุ๊ป Aได้
ด้วยเหตุนี้ อาหารประเภทพืชผัก หรือ มังสวิรัติ จึงเหมาะกับคนกลุ่มนี้มากกว่า ดังจะเห็นว่าชาวมังสวิรัติส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงสดชื่นขึ้น มักจะเป็นคนที่มีเลือดกรุ๊ป A

คนที่มีเลือดกรุ๊ป B เป็นผู้ที่ถือว่า มีความได้เปรียบอย่างมาก เนื่องจากมีลักษณะแบบผสมผสาน คือได้รับผลดีทั้งจากผักและ ผลไม้ นมเนยและเนื้อสัตว์ โดยจะมีข้อยกเว้นที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันผลเสีย ที่อาจเกิดกับร่างกาย อย่างเฉพาะเจาะจงอยู่เป็นบางอย่างเท่านั้น
อาจจะฟังดูแปลก แต่อาหารที่ทำจากเนื้อกระต่าย แกะ หรือกวาง ถือเป็นอาหารที่เหมาะกับ คนที่มีเลือดกรุ๊ปB ส่วนที่ต้องระวังก็คือเนื้อไก่ ซึ่งมีเลกติน ชนิดที่รบกวนระบบ ซึ่งสามารถ นำไปสู่อาการเส้นเลือดในสมองตีบ หรือเส้นเลือดแดงแตกในสมอง และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ การเปลี่ยนไปใช้เนื้อกวางแทน เนื้อไก่น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า เพราะเนื้อกวาง เป็นเนื้อที่มีโปรตีน และวิตามินBสูง ใกล้เคียงกับเนื้อวัวเลยทีเดียว หอยเชลล์ ปลาแซลมอน กุ้ง ปู และหอยแครง ถือเป็นอาหารที่ชาวกรุ๊ปเลือด B ควรต้องระวัง เพราะเป็นอีกประเภท ที่สามารถรบกวนระบบ ในร่างกายได้เช่นกัน
ความโชคดีอีกประการ ของคนกลุ่มนี้คือ เป็นคนกลุ่มเดียว ที่สามารถกินอาหารประเภทนม เนย และนำไปใช้ ได้ตามปกติ ยกเว้น เนยแข็งที่มีรสเข้ม เพราะจะทำให้ย่อยยาก ส่วนเรื่องของพืชผักนั้น แทบทุกอย่าง ให้ผลดี โดยเฉพาะผักใบเขียวทั้งหลาย ที่ไม่เหมาะเห็นจะเป็นข้าวโพด เพราะจะก่อให้เกิด ปัญหาต่อ ระบบการเผาผลาญ และการสร้างอินซูลิน ของร่างกาย อีกชนิดหนึ่งก็คือ มะเขือเทศ ที่ห้ามกินโดยเด็ดขาด เพราะมีสารก่อกวนผนังกระเพาะ
ด้วยความที่ คนกลุ่มนี้ มีระบบการย่อยที่ค่อนข้างสมดุล แต่มักมีปัญหาเรื่องไวรัส และภูมิคุ้มกัน จึงเหมาะจะกินผลไม้มาก ผลไม้ที่ควรเลี่ยงมีเพียงแพร์ พลับ และทับทิม ส่วนพืช และสมุนไพรอื่นๆ ที่สามารถส่งผลดีต่อเลือดกรุ๊ปB ได้แก่ พริก ขิง ชะเอมเทศ สมุนไพรชาเขียว
น้ำมันมะกอก เป็นอีกสิ่ง ที่ร่างกายของคนที่มีเลือดกรุ๊ปB จะตอบสนองได้ดีมาก ทำให้เกิดประโยชน์เต็มที่ อาหารที่กินในแต่ละวัน จึงน่าจะมีน้ำมันมะกอก เป็นส่วนผสมไม่น้อยกว่า 1 ช้อนโต๊ะ
อย่างไรก็ตาม คนเลือดกรุ๊ปB ก็เป็นอีกกลุ่มที่เครียดได้ง่าย กังวลได้ทุกเรื่อง ดังนั้นไทชิ หรือกีฬาที่จะต้องจินตนาการมีสมาธิสูงๆ จะหมาะกับ คนกรุ๊ปเลือดนี้เป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ รู้สึกผ่อนคลาย และอารมณ์ดีขึ้น


ลักษณะเด่นของคนที่มีเลือดกรุ๊ปโอ คือ น้ำย่อยในระบบย่อยอาหาร ที่มีความเป็นกรดสูง จึงเหมาะกับ อาหารประเภทเนื้อทั้งหมด โดยฉพาะเนื้อแดง ผักและผลไม้ส่วนใหญ่ ก็มีประโยชน์สำหรับคนเลือดกรุ๊ปนี้ แต่อาหารที่ไม่ค่อยเหมาะและ อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ก็คืออาหารประเภทข้าว ถั่ว และนม
สาเหตุที่นม เนย และชีสไม่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ป O เพราะ เป็นอาหารที่ออกจะย่อยยาก ส่วนแป้งสาลีจะทำปฏิกริยา ที่เป็นผลเสียต่อเลือด รบกวนระบบเผาผลาญของร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมไขมันและ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ง่าย


สำหรับคนที่มีเลือดกรุ๊ป AB ลักษณะ การกินอาหารที่จะให้เหมาะสมนั้น ค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะเป็นส่วนผสม ของลักษณะจากเลือดกรุ๊ปเอ และB ซึ่งหมายความว่า อาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ของคนเลือดกรุ๊ปเอ และอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ของคนเลือดกรุ๊ปB ก็จะส่งผลดีต่อร่างกาย ของคนเลือดกรุ๊ป AB ด้วย
อาหารมังสวิรัติให้ผลดีต่อร่างกายของคนกลุ่มนี้ อาหารประเภทเนยนมและไข่ก็กินได้ตามปกติ แต่ต้องไม่มากเกินไป และถ้าหากมี ปัญหาเกี่ยวกับเสมหะ หรือไซนัสอักเสบ ก็ควรหลีกเลี่ยง และเช่นเคย ควรระวังอาหารที่ทำจากแป้งสาลีด้วยเช่นกัน
แหล่งโปรตีนที่เหมาะสมสำหรับเลือดกรุ๊ป AB ได้แก่ อาหารทะเล (ยกเว้นปลาเนื้อขาวและแซลมอนรมควัน) เต้าหู้ เนื้อแดง แกะ กวางและกระต่าย ซึ่งควรกินในปริมาณที่ไม่มากนัก ในแต่ละครั้ง จึงจะย่อยได้ดี ส่วนอาหารประเภทถั่วนั้น มีเพียงสามชนิดที่ให้คุณ ซึ่งได้แก่ ถั่วลิสง จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน แต่ถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ก็ไม่ควรรับประทานถั่วเม็ด แต่ให้เปลี่ยนเป็นเนยถั่ว ถั่วชนิดที่สองและสามคือ ถั่วเลนทิลและถั่วเหลือง เพราะเป็นอาหารป้องกันมะเร็ง และเหมาะกับการลดน้ำหนักที่สำคัญต่อกรุ๊ปเลือด AB
http://www.thaipaipan.com/jl_tppcom/index.php?option=com_content&view=article&id=1191&catid=316:health-a-beauty&Itemid=69

ลาบปังกรอบ (อาหารว่างเจ)


http://www.youtube.com/watch?v=bdbEH0Djrg4&feature=results_main&playnext=1&list=PL21A3967CB5BD02CD

อาหารปลอดสารพิษ

 มะม่วง : มะละกอ
ช่วงนี้มะม่วงออกมาให้กินแข่งกับทุเรียน ชวนอ้วนไปตาม ๆ กัน ส่วนมะละกอนั้นก็มีอยู่คู่แผงขายผลไม้ตลอดทุกฤดู
มะม่วงและมะละกอนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มะม่วงมีสาระสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ซึ่งผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มีเอนไซม์ชื่อ ปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีน แตกตัวได้เร็วขึ้น เช่นเดียวกับ โปรเมลิน ทั้งมะม่วงและมะละกอดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้ และช่วยย่อยอาหาร



 น้ำกระเจี๊ยบ
น้ำกระเจี๊ยบ เป็นน้ำสมุนไพรที่เราท่านรู้จักกันดี รสชาติเรียกได้ว่า อร่อยกิน( ดื่ม )ขาด เมื่อเทียบกับน้ำหวานสีแดง สีเขียว
แต่เราอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่า น้ำกระเจี๊ยบถือเป็นยาสมุนไพรชั้นดี ทั้งมีสรรพคุณ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้นิ่ว แก้ทางเดินปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
สรรพคุณที่กล่าวมานี้เรียกได้ว่าเป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คน เพราะจากการจราจรที่ติดขัด ทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบกันเป็นแถว เปลืองเงินรักษาอาการอักเสบอีกมาก หรือใครที่เป็นไปแล้วก็ยังไม่สาย หาน้ำกระเจี๊ยบดื่มแก้กระหาย หรือจะหาซื้อกระเจี๊ยบแห้งมาต้มน้ำไว้ดื่มเองที่บ้านก็แก้กระหาย และได้สรรพคุณเช่นเดิม



 ทางเลือกเพื่อการบริโภคอาหารปลอดสารพิษ
- เลือกซื้อสินค้าปลอดสารพิษเพื่อสุขภาพของท่านและทั้งเพื่อสนับสนุนเกษตรกรหรือองค์กรพัฒนาเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐฯ ที่ผลิตพืชผักผลไม้ และสินค้าปลอดสารพิษออกมาจำหน่าย และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแต่ละองค์กรที่มาจำหน่ายด้วย

- เปลี่ยนทัศนคติเรื่อง ต้องกินอาหารสวย ๆ ว่าฝักถั่วต้องยาวเท่านั้นเท่านี้ถึงจะซื้อ ผักต่าง ๆ ต้องไม่มีหนอนมีแมลง ยิ่งสวยเท่าไหร่ก็ควรระวังเพราะว่าต้องใช้สารเคมีมากขึ้นเท่านั้น



 สมุนไพรปลอดภัยกันยุงได้ดี
ภาควิชาปาราสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้คัดเลือกสมุนไพรที่เคยมีรายงานว่าสา-มารถขับไล่แมลง และป้องกันยุงกัดมาวิเคราะห์เพื่อหาสารที่มีฤทธิ์ในการป้องกัน 75 ชนิด แต่คัดเอาเพียง 7 ชนิด คือ ตะไคร้หอม มะกรูด ดอกเบญจมาศสวน สะเดา กะเพรา ข่า และว่านน้ำ
จากนั้นนำมาสกัดด้วย เอธานอล 90 เปอร์เซ็นต์ โดยนำเอาสารสกัดจากพืช 7 ชนิด มาผสมในอัตราส่วนที่เท่ากันแล้วจะได้สารออกมา 21 ชนิด แล้วมาผสมกับน้ำมันมะกอก น้ำมันหอมระเหย กลิ่นชะมด แล้วนำมาทดสอบประสิทธิภาพ พบว่าสารสกัดจากตะไคร้หอม สารที่มีสารของมะกรูด และสารจากเบญจมาศสวนเมื่อนำมาผสมกัน มีประสิทธิภาพในการขับไล่ยุงได้นาน 114-126 นาที ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูง



 กะหล่ำดอก
กะหล่ำดกมีวิตามินเอ บี1 บี2 โดยเฉพาะบี2 จะมีมากที่สุด และเมื่อนำมาปรุงอาหาร ไม่ว่าจะต้มกะหล่ำดอกนานแค่ไหน ก็จะไม่เปลี่ยนสีจึงใช้เป็นอาหารที่ให้สี กลิ่น รส ที่ดีที่สุด
นอกจากจะเลือกบริโภคกะหล่ำดอกที่ปลอดจากสารพิษแล้ว ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ กะหล่ำดอกนั้นมีดอกเล็ก ๆ ติดกันเป็นจำนวนมาก การล้างให้ล้างในน้ำผสมเกลือ แล้วค่อยล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้มีพยาธิติดอยู่



 ร้านสหกรณ์กสิกรรมไร้สารพิษ
ร้านสหกรณ์กสิกรรมไร้สารพิษ ฟังชื่ออาจจะแปลกกว่าที่เคยได้ยินและคุ้นหูว่าปลอดสารพิษ แท้จริงแล้วเพียงชื่อเท่านั้นก็ไม่เหมือนกัน แต่ยืนยันได้ว่าไร้สารพิษจริง เพราะในขั้นตอนการปลูกนั้นไม่ใช้ปุ๋ยเคมี หรือสารเคมีใด ๆ เลยแม้แต่ชนิดเดียว
พืชผักไร้สารพิษ เช่น ผักกาด ผักคะน้า กะหล่ำดอก ถั่วฝักยาว เหล่านี้มาจากการปลูกแบบไร้สารพิษจากจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้ในร้านยังมีผลิตภัณฑ์ไร้สารพิษอื่น ๆ อีกมากมาย
ร้านสหกรณ์กสิกรรมไร้สารพิษเปิดบริการจำหน่ายพืชผักอยู่ด้านหลัง ตลาดองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) เยื้องจตุจักร โทร. (01)211-2511



 กระเทียม
กระเทียมใช้แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่น จุกเสียด โดยใช้กลีบกระเทียมปอกเปลือกกินดิบ ครั้งละประมาณ 5 กลีบ ด้วยคุณประโยชน์ของกระเทียมทำให้ผู้คนหนีมากินกระเทียมสดกันมากยิ่งขึ้น แต่ผู้ที่กินกระเทียมควรระวัง ทั้งนี้เพราะเราอาจจะไม่ได้รับคุณประโยชน์ของกระเทียมอย่างเดียวเสียแล้ว เนื่องจากขั้นตอนการปลูกมักรองหลุมด้วยฟูราดานเพื่อกันแมลงกัด กินกระเทียม กระเทียมที่ได้จึงหัวใหญ่ สวย แต่สารเคมีที่หัวกระเทียมสะสมไว้นั้นก็มีมากเช่นกัน
ลองเปลี่ยนมากินกระเทียมปลอดสารพิษ ถึงแม้หัวจะเล็กกว่า แต่ก็ลดโอกาสรับพิษตกค้างได้มาก

http://doctor.or.th/node/3842

เคล็ดไม่ลับ 5 วิธีการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ

ปัจจุบันการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน เช่น บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆกัน ทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารแลพไฟโตเคมิคัลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิแดนท์ เช่น ไลโคฟีนในมะเขือเทศ แคโรทีนอยด์ในแครอท และคลอโรฟิลด์ในผักใบเขียว สารออกซิแดนท์เป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและการเกิดโรคภัยต่างๆ ความนิยมบริโภคถั่วเหลือง แหล่งโปรตีนจากพืชซึ่งปลอดภัยมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ และการบริโภคน้ำมันพืชมีกรดไขมันจำเป็น พบมากในน้ำมันมะกอก รำข้าว ทานตะวัน และน้ำมันงา โดยเฉพาะการได้รับวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันน้ำมันพืชเข้ามามีบทบาทต่อผู้รักสุขภาพอย่างขาดไม่ได้



การรู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่างหน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “วิถีทางธรรมชาติ” แต่ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หารับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย

วัยนี้จะพบปัญหากระดูกเปราะ กระดูกพรุนอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ อาหารแคลเซียมสูงอยู่ในนม โยเกิร์ตชนิดครีม เนยแข็ง หรือแม้แต่ปลาตัวเล็กตัวน้อย พวกผักใบเขียวก็มี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบรอกโคลี จะช่วยลดปัญหาเรื่องกระดูกให้รุนแรงน้อยลง การแก้ไขภาวะขาดน้ำอาจให้ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย น้ำใบเตย นอกเหนือจากน้ำเปล่า เพราะช่วยบรรเทาโรคบางอย่างและให้ประโยชน์กว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน

สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใดควรดูแลเรื่องการกินอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองมีโรคหรือมีปัญหาสุขภาพแล้วเท่านั้น นอกจากนี้การเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวระหว่างวันให้มาก ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย จะช่วยให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประโยชน์ด้านระบบการไหลเวียนเลือด ควบคุมน้ำหนักตัว และลดความเครียดของร่างกายได้
http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/4643