วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

อาหารธรรมชาติของมนุษย์

อาหารธรรมชาติของมนุษย์


อาหารของชนแต่ละชาติในโลกล้วนแตกต่างกันออกไปตามความนิยมของตน มีวิธีการปรุงและรสชาดที่เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เช่น ชาวยุโรป อเมริกา ชาวตะวันตกทั้งหลาย จะนิยมอาหารที่มีรสอ่อนๆ มักไม่คุ้นกับอาหารของชาวเอเซียซึ่งนิยมรสเข้มข้น ปรุงด้วยเครื่องเทศ มีรสจัดและเผ็ด แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกชาติทุกภาษาในโลกรับประทานได้เหมือนกันหมดก็คือ ผลไม้และผักสดๆแม้ว่าแต่ละชาติจะรับประทานอาหารที่แตกต่างกันในรสชาด แต่ชนทุกชาติทุกภาษาในโลกล้วนชื่นชอบผลไม้และผักสดๆเหมือนกันหมด ฉะนั้นผลไม้และผักสดๆทุกชนิดจึงเป็นอาหารที่แท้จริงของมนุษย์ ทุกชาติทุกภาษาไม่ว่าชนชาติใดก็สามารถรับประทานผักสดผลไม้ได้ทันทีโดยไม่ต้องแยกแยะนำไปปรุงโดยวิธีการใดๆทั้งสิ้น ทุกคนต่างมีโอกาสได้ลิ้มรสอาหารที่เป็นธรรมชาติแท้อันบริสุทธิ์ ปัจจุบันคำว่า"อาหารธรรมชาติ" หมายถึงอาหารที่ได้มาจากพืชผักผลไม้ล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของสัตว์เจือปนอยู่ ไม่ว่าอาหารนั้นจะเป็นอาหารที่ต้องผ่านการปรุงด้วยความร้อน หรือเป็นอาหารที่สามารถบริโภคทันทีได้จากธรรมชาติโดยตรง การบริโภคอาหารธรรมชาตินี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่อย่างใด มีหลักฐานยืนยันว่าในทุกๆส่วนของโลกไม่ว่าจะเป็นทวีปเอเซีย ยุโรปหรืออเมริกา นับย้อนหลังไปกว่า 3 ถึง 5 พันปี ก็มีบรรดากลุ่มชนผู้ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ ด้วยอาหารธรรมชาตินี้แล้ว ผู้คนที่กินอาหารธรรมชาติ เรียกชื่ออาหารประเภทนี้ต่างกันออกไป เช่นอาหารมังสวิรัติ อาหารเจ อาหารเพื่อสุขภาพเป็นต้น แต่ทั้งหมดก็คือการรับประทานอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกชนิด จะมีข้อแตกต่างแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยตามความนิยม หลักการ ความเชื่อถือของชนในแต่ละกลุ่ม เราจัดกลุ่มของผู้บริโภคอาหารธรรมชาติเป็น 3 ลักษณะดังนี้

1. ประเภทที่กินแต่พืช ผัก ผลไม้ล้วนๆ (VEGAN) ได้แก่ผู้ที่รับประทานอาหารเฉพาะผักผลไม้ ข้าว งา เมล็ดธัญญพืช ถั่วเปลือกแข็งต่างๆบรรดานักบวชโยคีในอินเดียซึ่งรับประทานแต่อาหารที่ไม่ผ่านความร้อนใดๆ และคนที่กินอาหารเจซึ่งไม่รับประทานพืชผักบางชนิด เช่น กระเทียม หัวหอม ก็จัดอยู่ในประเภทนี้

2. ประเภทที่กินพืชผักผลไม้ทุกชนิด (LACTOVEGYARIAN) และผลิตผลจากสัตว์บางชนิด เช่น น้ำผึ้ง นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย นมเปรี้ยว เป็นต้น

3. ประเภทที่กินพืชผักผลไม้ทุกชนิด และกินนม ผลิตภัณฑ์จากนม (LACTO OVO VEGETARAIN) น้ำผึ้งและรับประทานไข่รวมด้วย แต่อาหารทั้ง 3 ประเภทนี้ จะต้งไม่มีจากเนื้อสัตว์ทุกชนิดปะปนโดยเด็ดขาด








ประโยชน์ของการกินเจ

ประโยชน์ของการกินเจ


๑.ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกให้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษ ตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักสดผลไม้ช่วยให้การขับถ่าย และการย่อยเป็นปกติ
๒.เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อย ๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวผิวพรรณสดชื่นผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใสไม่พร่ามัว ร่างกายแข็งแรง รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด มีสุขภาพ อนามัยดีมาก
๓.อวัยวะหลักสำคัญภายในและอวัยวะประกอบทั้ง ๕ แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง
(อวัยวะหลักภายในทั้ง ๕ ได้แก่ หัวใจ,ไต,ม้าม,ตับ,ปอด)
(อวัยวะประกอบทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้เล็ก,ลำไส้ใหญ่, กระเพาะปัสสาวะ, กระเพาะอาหาร,ถุงน้ำดี)
๔.ร่างกายต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดา
สารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ได้แก่
-จำพวกสารเคมี,ยากำจัดศัตรูพืช,ยาฆ่าแมลง,สาร ดี.ดี.ที. ฯลฯ
-ก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล ฯลฯ ซึ่งแพร่กระจายปะปนไปในอากาศที่เราหายใจอยู่เป็นประจำ รวมถึงพบในแหล่ง น้ำดื่มด้วย
-สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกายทนต่อการทำลาย จากรังสีต่างๆ เช่น กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ และในสงคราม
๕.ในบรรดาผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักเป็นประจำ ความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฎโดยเฉพาะโรคที่รุนแรงและเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง,โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง,เส้นเลือดตีบ,ไขมันอุดตันในเส้นโลหิต, โรคไต,ไขข้ออักเสบ,โรคเกาต์,โรคเบาหวาน
โรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่ายย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร ,มะเร็งในกระเพาะ และลำไส้,โรคกระเพาะ,อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบในผู้ที่รับประทานอาหารเจอาหารพืชผัก และผลไม้เป็นประจำ






เพื่อนเก่าเหมือนรูปถ่าย เพื่อนใหม่เหมือนรองเท้า


เพื่อนเก่า :

เป็นคนที่อยู่กับเรา ตอนเรามีความรักครั้งแรก

เป็นคนที่มีความทรงจำทั้งดีและแย่ร่วมกันกับเรา

เป็นคนที่มีรูปติดอยู่ในสมุดเฟรนด์ชิปเล่มเดิม

เป็นคนที่เซ็นชื่อกำกับตัวโตๆ ตรงคำว่ารักเรามากกว่าใคร

เป็นคนที่มักวิ่งเข้ามาในความคิดถึง ตอนเราเหงา

เป็นคนที่เราภูมิใจ เมื่อเล่าให้คนอื่นฟัง

เพื่อนเก่า.....จึงเหมือนกับรูปถ่ายที่ถูกเก็บไว้ในอัลบั้ม


ส่วนเพื่อนใหม่ :

เป็นคนที่อยู่กับเรา ตอนเรามีความรักครั้งปัจจุบัน

เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งตอนที่เราผิดหวังและสมหวัง

เป็นคนที่บอกเราว่าถึงแม้บางครั้งจะล้ม

แต่ถ้าใจไม่แพ้ ก็สามารถจะเริ่มต้นวิ่งใหม่ได้ทุกเมื่อ

เป็นคนที่ถ้าเราไม่สบาย จะรีบมาดูแล

เป็นคนที่เราอุ่นใจ เมื่อเล่าให้คนอื่นฟัง

เพื่อนใหม่.....จึงเหมือนกับรองเท้า

ที่พร้อมจะเดินไปในทุกๆที่ ด้วยกันกับเรา 

ในชีวิตของทุกๆคน

ต่างก็จำเป็นต้องมีทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่อยู่ในชีวิต

เพื่อจะได้มีทั้ง 'ความทรงจำที่น่าภูมิใจ' และ 'ปัจจุบันที่อบอุ่นใจ'

โดยการให้ความสำคัญกับ 'รูปถ่ายในอัลบั้ม'

หมั่นหยิบขึ้นมาปัดฝุ่น คิดถึงและนึกถึงเรื่องราวในภาพเหล่านั้นเสมอๆ

แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมที่จะหมั่นเช็ดฝุ่นให้กับรองเท้าด้วย

อย่าให้การเดินไปด้วยกัน เป็นการเดินเหยียบย่ำกัน

อย่าให้ความเคยชิน ทำให้หมดความเกรงใจและไม่ให้เกียรติกัน

เพราะถึงแม้รองเท้าจะยี่ห้อดีแค่ไหน เพื่อนใหม่คนนั้นจะดีกับเราแค่ไหน

ถ้าเราใช้งานแบบไม่ถนอม รองเท้าก็อาจพังได้

เพื่อนใหม่ก็อาจหนีหายไปจากเราได้

ซึ่งก็รู้ใช่หรือเปล่า ว่ารองเท้าดีๆ ที่ใส่แล้วเหมาะกับเรานั้น

หาไม่ง่ายเลย

เพื่อนดีๆ ที่เข้าใจเรานั้น หายากมาก และบางที .. ตลอดชีวิต

อาจเจอแค่คนเดียว ..


ความหมายของคำว่าเพื่อนนั้นมีมากกว่านี้  แต่ว่าเราจะต้องค้นหามันด้วยตัวเอง

เมื่อถึงวันนั้นเราจะเข้าใจและพร้อมที่จะชื่นชมรูปถ่ายไปพร้อมๆ กับการเดินด้วยรองเท้าที่เรารัก ..